5 เทคนิคอ่านใจคนได้ ในพริบตาเดียว

อ่านใจคน

ใครหลายคนอาจจะคิดว่า ‘การอ่านใจคน’ เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ต้องมีเวทมนตร์หรือสัมผัสพิเศษเท่านั้นถึงจะทำได้ แต่หารู้ไหมว่า จริงแล้วๆ เพียงแค่รู้ทริคเล็กน้อยๆ ทุกคนก็สามารถรับรู้สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของคนอื่นได้ทั้งนั้น

ในความเป็นจริง ‘การอ่านใจคน’ เป็นทักษะหนึ่ง ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ง่ายๆ อีกทั้งยังช่วยให้เราได้เปรียบอย่างมากในการใช้ชีวิตแต่ละวัน นับตั้งแต่การคาดเดาความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ จนไปถึงการเข้าหาเจ้านาย ที่จะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่เอ็นดูและเมตตา การรับรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของผู้อื่น และตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาได้ตรงจุด จะทำให้ชีวิตของเราไปได้ไกลยิ่งขึ้น   

Loren Miner COO จากบริษัทจัดหางานชื่อดังอย่าง Decision Toolbox กล่าวว่า การรับรู้ถึงความคิดของผู้อื่น เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จ ทั้งชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัว และที่สำคัญกว่านั้น คือ บนโลกใบนี้ คนที่ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด แต่ต้องเป็นคนที่มี EQ สูง และรู้ทันความคิดของคนรอบข้างอยู่เสมอ 

ผู้คนส่วนใหญ่ มักจะส่งสัญญาณทางความคิดบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัวเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความคิดภายในและคำพูดที่ส่งออกไปสวนทางกัน เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราอ่านความคิดของคนอื่นได้ เราก็จะสามารถปรับวิธีการเข้าหาหรือหัวข้อในการสนทนาได้ทัน เพื่อให้การสนทนาเป็นไปด้วยความราบรื่น ไม่มีปัญหาค้างคาใจตามมา 

เข้าใจถึงความแตกต่างทาง Generations

การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างทาง Generations ของคนที่เรากำลังสงสัยว่า เขาคิดอะไรอยู่ ? อาจทำให้เราเข้าใจความคิดที่โลดแล่นในสมองของคนนั้นๆไม่มากก็น้อย เพราะ คนแต่ละยุคสมัยย่อมมีชุดความคิดที่แตกต่างกัน 

อาทิเช่น Millennials หรือกลุ่มคนที่เกิดในยุค 2000s เป็นต้นไป มักจะซ่อนความคิดและตัวตนไว้หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ พวกเขาเลือกที่จะแสดงออกทางความคิดแท้จริงผ่าน Social media อย่าง Twitter หรือ Blog มากกว่าการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่พบปะกันแบบตัวต่อตัว ในทางตรงกับข้าม Boomers หรือกลุ่มคนที่เกิดหลังจากโลกผ่านสงครามอันโหดร้าย มักจะชอบการพูดคุยแบบพบปะกันมากกว่า  

การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างทาง Generations จะช่วยให้เรารู้ว่า วิธีไหนที่เหมาะสมในการเข้าหาคนและพัฒนาความสัมพันธ์กับคนในแต่ละวัย หากจะเข้าไปทำความรู้จักกับ Millennials เราก็ไม่จำเป็นจะต้องนัดพบปะกันตามร้านกาแฟ หรือสถานที่สาธารณะ เพราะ พวกเขามักจะรู้สึกสบายใจมากกว่ากับการพูดคุยผ่าน Social media แต่ถ้าหากเป็น Boomers การนัดพบกันตามสถานที่ต่างๆ นับเป็นโอกาสที่ดีมาก สำหรับการทำความรู้จักและกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ วัยที่แตกต่างกัน ยังทำให้มุมมองและการนิยามคุณค่าของสิ่งรอบตัวแตกต่างกันตามไปด้วย ไม่ว่าหัวข้อในวงสนทนานั้น จะเป็นเรื่องใดก็ตาม เมื่อพูดคุยกับ Millennials เรามักจะให้ความสำคัญกับความรวดเร็ว ก้าวหน้า และเส้นทางอนาคตที่ยาวไกล ขณะที่ Boomers มักจะชอบพูดคุยเกี่ยวกับความปลอดภัย และความมั่นคงเสมอ เพราะฉะนั้น ลองคิดวิเคราะห์ลักษณะและบริบทของคนที่เรากำลังคุยอยู่ มันจะช่วยให้เราเข้าใจความคิดของคนนั้นๆได้ดียิ่งขึ้น 

มองหา Pain point ของคนที่เรากำลังคุยด้วย

อะไร เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจกันนะ? และทำไมเขาถึงไม่อยากออกมาจาก comfort zone ของตัวเองกันล่ะ?  

อีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้เรารับรู้ถึงความคิดของคนอื่นได้ดียิ่งขึ้น คือ การมองหาและทำความเข้าใจ Pain Point ของคนที่เรากำลังคุย ซึ่งนั่นรวมไปถึงการถามคำถามที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเจาะลึกถึงตัวตนข้างใน จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า อะไรเป็นสิ่งสำคัญ และอะไรเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจสำหรับชีวิตของเขา และเมื่อเข้าใจถึง Pain Point ของเขาแล้ว เราก็จะเข้าใจชุดความคิด ที่สะท้อนผ่าน Pain Point เหล่านั้นตามไปด้วย 

พยายามหลีกเลี่ยงการสนทนาที่มีรูปแบบตายตัว และเข้าไปทำความรู้จักผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นด้วยคำถามปลายเปิด ที่สะท้อนถึง Pain point ของคนเหล่านั้น หรือเราอาจจะแชร์เรื่องราวและประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา เพื่อเปิดทางให้คนทีเราคุยด้วยไว้วางใจที่จะแลกเปลี่ยนเรื่องราวของตนเองให้เราฟัง ด้วยวิธีการนี้ เราจะได้รู้ถึงตัวตนและความคิดอีกด้าน ที่หาไม่ได้จากการพูดคุยแบบผิวเผินทั่วไป และจะทำให้เราเข้าใจได้ว่า จริงๆแล้ว เขาคิดอะไร?

วิเคราะห์จาก บุคลิกลักษณะที่สะท้อนออกมา

บุคลิกลักษณะ เป็นสิ่งที่เราแสดงออกมาโดยธรรมชาติ แม้ว่า บางครั้งจะพยายามปกปิดมันมากแค่ไหน เราก็ไม่สามารถซ่อนตัวตนที่แท้จริงของเราได้อยู่ดี เพราะฉะนั้น บุคลิกลักษณะ จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถสังเกตและวิเคราะห์ได้ว่า คนที่เรากำลังพูดคุยอยู่ด้วยเป็นคนอย่างไร?

อย่างไรก็ตาม การจะค้นพบชิ้นส่วนปริศนา ที่จะไขข้อสงสัยว่า คนที่เราพูดคุยด้วยกำลังคิดอะไรอยู่? จำเป็นต้องอาศัยการสังเกตพฤติกรรมและเอาใจใส่ในรายละเอียดอย่างยิ่ง อาทิเช่น สำหรับคนที่ชอบเป็นผู้นำ มักจะเป็นผู้เริ่มจับมือก่อน เมื่อทักทายกันด้วย handshake หรือคนที่มีอารมณ์ขัน มักจะมีมุขเสียดสีตลกๆ ในวงสนทนาอยู่เสมอ ดังนั้น พยายามสังเกตบุคลิกลักษณะที่สะท้อนออกมาไว้ให้ดี เพราะ มันอาจช่วยให้คุณเข้าใจความคิดภายในของพวกเขาได้ว่าเป็นอย่างไร

สังเกตได้ไม่ยาก Body Language ของมนุษย์

Body Language นับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ผู้ต้องสงสัยมักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เราสามารถรับรู้ความคิดของคนอื่นได้จาก Body Language ที่เขาสื่อออกมาขณะที่กำลังพูด เช่น หากขณะที่พูดหรือรับฟังในวงสนทนา เขากำลังนั่งพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ นั่นหมายความว่า เขากำลังสนใจในเรื่องที่เรากำลังพูด หรือรรู้สึกสบายใจที่ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นกับเรา แต่ถ้าหากว่าสายตาของเขาเริ่มจับจ้องไปที่อื่น นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า เราควรจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หรือทำอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาสบายใจ เพราะ นั่นหมายความว่า เขาไม่ได้อยากรับฟังอะไรจากเราอีกแล้ว

ยิ่งกว่านั้น โทนเสียง ก็นับว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยให้รับรู้สิ่งที่อยู่ในสมองของผู้ต้องสงสัยด้วยเช่นกัน หากเขากำลังตอบเราด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นั่นอาจแสดงว่า เขาไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เราจะพูดเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ถ้าหากน้ำเสียงของเขา มันดูตื่นเต้นเร้าใจในสิ่งที่เราพูด นั่นหมายความว่า การพูดคุยในครั้งนี้น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

เป็นผู้ฟังที่ดี

การรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูด หรือแม้กระทั่งไม่ได้พูด เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจความคิดของผู้อื่น ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เมื่อการสนทนานั้นเกิดขึ้นผ่านทางโทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์รู้สึกเพลิดเพลินไปกับการสนทนาที่เกิดขึ้น น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็จะเต็มไปด้วยความสดใส ขณะที่ เมื่อมนุษย์กำลังรู้สึกวิตกกังวลหรือมีเรื่องไม่สบายใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็จะสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน

ดังนั้น เพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป สามารถสะท้อนความคิดและความรู้สึกของคนที่เรากำลังคุยด้วยไม่มากก็น้อย เราจึงจำเป็นต้องตั้งใจฟังสิ่งที่คนอื่นพูดให้ดี และถ้าหากต้องการทำความรู้จักและเข้าใจความคิดของคนนั้นจริงๆ พยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อสื่อสารผ่านตัวอักษร เพราะ เราจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า เขากำลังรู้สึกอะไร และคิดอะไรภายในใจที่แท้จริง